วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เลือกแว่นตา ให้เข้ากับใบหน้า

เลือกแว่นตา ให้เข้ากับใบหน้า

เลือกแว่นตา ให้เข้ากับใบหน้า
ถาม
ค้นหา
แว่นตา แว่นสายตา เดี๋ยวนี้แว่นตาอาจจะไม่ใช่แว่นสายตาอีกเสมอไปเพราะ บางคนใส่เป็นแฟชั่น อยากใส่แว่นบ้าง เห็นคนนั้นคนนี้ใส่แล้วสวย เราใส่ก็น่าจะสวยแบบเขาบ้าง เมื่อคิดอยากได้แว่นสักอันแล้ว ก่อนซื้อก็ให้สังเกตรูปหน้าเราสักนิดว่า เราใส่แล้วเข้ากับใบหน้ารึเปล่า
  • สำหรับคนที่มีใบหน้ารูปไข่ ควรใส่แว่นตาที่เป็นแบบ ทรงรี หยดน้ำ หรือ เหลี่ยมปลายเรียว รับกับใบหน้า ช่วยเน้นให้คมยิ่งขึ้น
  • คนที่ใบหน้ารูปหัวใจ หน้าผาก และขมับกว้าง ช่วงคางแคบ กรอบแว่นควรเป็นทรงกลม หรือ รี สีอ่อน เลี่ยงกรอบขนาดใหญ่เกินไป เพราะจะยิ่งเน้นหน้าผากกว้างให้ชัดขึ้น
  • ใบหน้ารูปทรงกลม โดยความกว้าง และความยาวของขอบใบหน้าอาจต่างกันเล็กน้อย แต่ส่วนมากจะใกล้เคียงกัน เหมาะกับกรอบแว่นที่มีเหลี่ยมมุม หรือ ปีกผีเสื้อ สีค่อนข้างเข้ม ตำแหน่งขาแว่นสูง หรือ อยู่ตรงกลาง ช่วยลดความกลม และทำให้ใบหน้าดูยาวขึ้น
  • ใบหน้ารูปทรงสี่เหลี่ยม มีความกว้างของหน้าผาก โหนกแก้ม และกรามใกล้เคียงกัน โดยลักษณะกรามค่อนข้างเหลี่ยม ควรเลือกกรอบแว่นโค้งมน ทรงรี หรือ กลม สีอ่อน สวมแล้วอยู่ระดับเดียวกับโหนกแก้ม ช่วยลดความแข็ง ปิดบังความนูนสูง และใบหน้าดูเรียวยาว
  • ใบหน้ารูปทรงสามเหลี่ยมตั้ง ช่วงกรามกว้างกว่าหน้าผาก และโหนกแก้ม ควรเลือกกรอบแว่นสี่เหลี่ยม ลักษณะด้านบนกว้าง และหนา ด้านล่างทำมุมเข้าโดยไม่มีกรอบก็ได้ ส่วนใบหน้ารูปทรงสามเหลี่ยมคว่ำ รูปหน้าจะค่อย ๆ แคบลงมาจนถึงคาง ควรเลือกกรอบแว่นด้านล่างกว้างกว่าด้านบน สวมแล้วไม่ควรอยู่สูงเกินไป เพราะจะเน้นคางแคบ และหน้าผากให้กว้างยิ่งขึ้น
ซื้อแว่นตาให้เข้ากับใบหน้า จะช่วยทำให้ใบหน้าของเราดูเด่นยิ่งขึ้นค่ะ เลือกดีๆนะคะ เพราะแว่นตา ราคาแพงค่ะ ^-^

วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้

วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้

วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้
ถาม
ค้นหา

วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้

ผลไม้หลากหลายชนิด สามารถนำมาบำรุงผิวหน้า เพื่อทำให้หน้าใสเนียน จากธรรมชาติ

1. สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว

ส่วนผสม

  • น้ำผึ้ง 1 ถ้วย
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

วิธีทำ

  1. ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที
  2. หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น

2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

ส่วนผสม

  • แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  1. นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง
  2. ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที
  3. หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น
สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย

3. สูตรกระชับรูขุมขน

ส่วนผสม

  • กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่
  • ปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
  • น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว

วิธีทำ

  1. ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว
  2. นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม
  3. นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ
  4. ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
  5. ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)

ส่วนผสม

  • โยเกิร์ต ½ ถ้วย
  • น้ำมันดอกทานตะวัน
  • มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  1. ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน
  2. นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที
  3. ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด
สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย

ส่วนผสม

  • กล้วย 1 ผล
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  1. บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน
  2. นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที
  3. ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง

6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา

ส่วนผสม

  • แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  1. นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
  2. นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา
  3. ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที
  4. แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น
เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม

สูตรบำรุงผิวหน้าดีๆแบบนี้

ต้องลองแล้วค่ะ ไม่ต้องกลัวแพ้สารเคมี แต่ต้องระวังนะ ถ้าทำแล้วนอนหลับ มดอาจจะขึ้นมาตอมใบหน้าได้ โดยเฉพาะ สูตรที่มีของหวานปน ^-^

ประโยชน์ของ สตรอเบอร์รี่

ประโยชน์ของ สตรอเบอร์รี่

ประโยชน์ของ สตรอเบอร์รี่
ถาม
ค้นหา

ประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่

  • เป็นผลไม้ที่ไม่หวานจัดและให้พลังงานต่ำ จึงเหมาะกับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก
  • มีวิตามินซีสูง สามารถป้องกันโรคหวัดได้เมื่อรับประทานเป็นประจำ
  • ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้ สตอรว์เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอยู่ในอันดับต้นๆของผักผล ไม้มีการศึกษาในผู้หญิงสูงอายุพบว่ารับ ประทานวันละ 20ผล หรือ 240 กรัม ทำให้ความสามารถต้านอนุมูลอิสระในเลือดเพิ่มขึ้น
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้
  • ช่วยล้างพิษ ทำให้ร่างกายสดชื่นผ่อนคลาย
  • แนวทางให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก สตรอว์เบอร์รี่

ราคาแพงจัง

ถ้าไม่สะดวกซื้อแบบสด ลองหาซื้อแบบสำเร็จรูปมาทานได้นะคะ อาจจะได้ประโยชน์ ไม่เหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ประโยชน์ จริงไหมคะ

ที่ไหนมีขายเยอะ เอาแบบสดๆนะ

ที่เชียงใหม่เลยค่ะ ช่วงหน้าหนาว มีเยอะค่ะ หวานอร่อย สดจากสวนค่ะ

ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของแครอท


ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของแครอท


แครอทเป็นพืชล้มลุกประเภทกินหัว นิมยมปลูกและรับประทานกันทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย แครอทให้ประโยชน์มากมายทั้งในด้านโภชนาการและสรรพคุณทางยา สามารถนำมาประกอบอาหารได้มากมายหลายชนิด แครอทนอกจากจะให้คุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายแล้ว ยังเป็นพืชที่ปลูกง่าย สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นอย่างมาก ราคาไม่แพง ผู้บริโภคสามารถหาซื้อได้ทั่วไป เก็บไว้รับประทานได้นาน
ลักษณะทางพฤษศาสตร์
แครอทเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ Umbelliferae อาจจะพบชื่อเรียกอื่นๆด้วยเช่น ผักกาดหัวเหลืองหรือผักหัวชี ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด แครอทเป็นพืชประเภทหัว คือมีหัวเจริญเติบโตอยู่ใต้ดิน เมื่อหัวมีขนาดใหญ่พอก็สามารถนำมารับประทานได้ แครอทมีแหล่งกำเนิดในเอเชียจากนั้นได้แพร่ขยายไปทั่วโลก นิมปลูกในฤดูฝน จริงๆแล้วแครอทนั้นมีหลายสีตั้งแต่เหลืองจนถึงม่วง แต่ที่นิมปลูกและรับประทานจะเป็นแครอทสีส้ม ซึ่งได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้ปลูกง่าย มีรสชาติดี กรอบ อร่อย
ประโยชน์ของแครอท
ประโยชน์ของแครอท การนำมาประกอบอาหาร
แครอทนับได้ว่าเป็นพืชสารพัดประโยชน์ นำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย ทั้งอาหารคาวและหวาน รวมถึงเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาหารคาวนั้นแทบไม่ต้องพูดถึงครับ ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด แครอทสามารถนำมาทำได้ครบถ้วน ตัวอย่างเช่น ผัดผักรวมใส่แครอท แกงจืดแครอทยัดใส้หมู แครอทชุบแป้งทอด แครอทผัดพริกแกง ซุปแครอท สลัด ยำรสจัดจ้าน ต้มจิ้มน้ำพริก ส้มตำแครอท เป็นต้น นอกจากนั้นยังนิยมใช้แครอทเป็นผักเสริมในการเพิ่มสีสันของอาหารประเภทต่างๆให้น่ารับประทานมากขึ้นอีกด้วย ส่วนเมนูของหวานนั้น เรานิยมเรานำแครอทมาทำขนมเค็กแครอทให้รสชาติที่อร่อย หอมหวาน สีสันสวยงามน่ารับประทานที่สุด ส่วนของเครื่องดื่มนั้น เราสามารถนำน้ำแครอทสดไปปรับแต่งเป็นเมนูเครื่องดื่มได้นับร้อยเมนู อีกทั้งยังสามารถรับประทานน้ำแครอทคั้นสด ซึ่งร่างกายเราสามารถได้ประโยชน์จากแครอทได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

ประโยชน์ของแครอท คุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยา
แครอทเป็นพืชที่มีสารอาหารหลายชนิดที่มีประโยชนืต่อร่างการ เช่น มีวิตามินเอและสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา แก้โรคตาฟ้าฟางได้ดี บำรุงผิวและเนื้อเยื่อต่างๆให้ทำงานได้ดี ช่วยยับยั้งความเสื่อมของอวัยวะสำคัญของร่างกาย ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงเลือดให้ไหลเวียนสะดวกและช่วยขับของเสียออกนอกร่างกาย นอกจากนี้แครอทยังมีสารฟอลคารินอลซึ่งทำงานร่วมกับสารเบต้าแคโรทีน สามารถต้านอนุมุลอิสระอันเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการยังพบอีกว่า แครอทมีสารแคลเซียมเพคเตทที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว ลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูงและต้อกระจก
เพื่อนๆคงได้เห็นประโยชน์ของแครอทแล้วนะครับว่ามีอยู่อย่างมากมายเหลือเกิน รับประทานก็ง่าย หาซื้อก็ง่าย ราคาก็ไม่แพง ปลูกกันมากในประเทศของเราเอง ดังนั้นการรับประทานแครอทนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองแล้ว ยังได้ช่วยให้เกษตรกรไทยมีรายได้มากขึ้น เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ แต่ต้องไม่ลืมอย่างหนึ่งนะครับว่าพืชผักส่วนมากในบ้านเราผ่านการปลูกแบบใช้สารเคมีมาก ดังนั้นก่อนนำมารับประทาน เราควรทำความสะอาดให้ดี แช่น้ำสะอาดนานๆ หรือไม่ก็ใช้ด่างทับทิมช่วยก็ได้ ถ้าให้ดีช่วยกันอุดหนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์ดีกว่าครับ จ่ายค่าพืชผักเพิ่มขึ้นอีกนิด แต่ลดค่ารักษาพยาบาลตัวเองในอนาคตลงได้มากโข :)

โรคที่มากับน้ำท่วมมีอะไรบ้าง



โรคที่มากับน้ำท่วมมีอะไรบ้าง

หมวดหมู่: สุขภาพ
ฤดูฝนนอกจากไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนักแล้วอาจจะมีน้ำหลาก ทำให้เราอาจจะประสบปัญหาน้ำท่วมได้ตลอดเวลา น้ำท่วมไม่ได้นำมาซึ่งความเสียหายต่อทรัพย์สิน เรือกสวนไร่ และธุรกิจเท่านั้น แต่น้ำท่วมยังนำโรคต่างๆมาด้วย โรคที่มากับน้ำท่วมมีหลายโรค ซึ่งแต่ละโรคมีความรุนแรงตั้งแต่สร้างความรำคาญ จนถึงสามารถทำให้เสียชีวิตได้ มาดูกันครับว่ามีโรคอะไรกันบ้าง

1. โรคน้ำกัดเท้า
เป็นโรคที่คู่กับน้ำท่วมมาทุกยุคทุกสมัย เกิดจากความเปียกและอับชื้นบริเวณเท้าและง่ามนิ้วเท้า ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผิวหนังบริเวณนั้นหลุดลอกออก ทำให้เชื้อโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อราสามารถเข้าไปฝังตัวบริเวณนั้น ทำให้เกิดแผลผุพอง ผื่นคัน และสามารถอักเสบเป็นหนองได้ ทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน เดินได้ไม่สะดวก
2. โรคฉี่หนู
โรคฉี่หนู หรือ เลปโตสไปโรสิส นั้นเป็นโรคติดต่อประเภทหนึ่งโดยมีหนูเป็นพาหะ สามารถติดต่อจากหนูสู่คนได้ผ่านทางปัสสาวะของหนู ไม่ว่าหนูนั้นจะฉี่ลงน้ำที่ท่วมขังหรือฉี่ลงไปในอาหารที่เรารับประทาน ภายหลังจากหนูฉี่ลงน้ำ เชื้อโรคนี้จะแพร่กระจายอยู่ในน้ำ และจะเข้าสู่ร่างกายเราผ่านทางแผลที่ผิวหนังที่สัมผัสน้ำนั้น
3. โรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากยุงลาย ซึ่งมักจะออกหากินเวลากลางวัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้อาเจียน อาการที่สังเกตุได้ง่ายอย่างหนึ่งคือจะมีจุดเล็กๆตามลำตัวและแขน ขา เมื่อมีอาการดังกล่าวอย่าซื้อยามารับประทานเอง ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
4. โรคปอดอักเสบ
โรคนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่สำลักเอาน้ำที่ไม่สะอาดเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ ปอดติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ไอมาก หายใจหอบและเร็ว ผู้มีอาการนี้ควรรีบไปพบแพทย์
5. โรคตาแดง
โรคตาแดงมักจะเกิดจากการสัมผัสกับเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักจะเกิดจากการใช้มือหรือผ้าเช็คหน้าที่มีเชื้อเหล่านี้ไปสัมผัสดวงตา ผู้ป่วยจะมีอาการคันและเคืองตา บางรายอาจจะมีอาการปวดดวงตา บวมแดง มีขี้ตามาก ร่วมด้วย ส่วนมากอาการจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ ถ้ามีอาการมากควรไปพบแพทย์
6. โรคอหิวาตกโรค
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียประเภท Vibrio Cholerae มักเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด ซึ่งมีแมลงวันเป็นพาหะ ทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง มีลักษณะอุจจาระเหลวมาก ถ่ายบ่อยทั้งวัน อาการอาจจะหายไปเองได้ แต่ถ้ามีอาการมากต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
7. ไข้ไทฟอยด์
มีชื่อเรียกอีกชื่อว่าไข้รากสาดน้อย เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Enterica Serovar ซึ่งจะอยู่ในน้ำดื่มและอาหารที่ไม่สะอาด มีเชื้อโรคปนอยู่ โดยจะเข้าไปฝังตัวในลำใส้และระบบขับถ่าย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง เหงื่อออกมาก กระเพาะและลำไส้อักเสบ มีอาการท้องเสียแบบไม่มีเลือดปน ผู้ป่วยบางรายอาจจะหายได้เองใน 2-4 สัปดาห์ แต่ในรายที่มีอาการแทรกซ้อน เช่น เลือดออกทางเดินอาหาร ลำไส้ทะลุ ไตวาย ช่องท้องอักเสบ อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการไข้ไทฟอยด์ การไปพบแพทย์จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
8. โรคเครียดวิตกกังวล
ผู้ประสบเหตุน้ำท่วมย่อมมีอาการเครียดและวิตกกังวล อันเนื่องมาจากความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เกิดขึ้น การทำหากินลำบาก ไปทำงานหรือโรงเรียนไม่ได้ หาซื้อข้าวปลาอาหารลำบาก ดังนั้นอาการเคลียดและซึมเศร้าจึงมักจะเกิดขึ้นกับผู้ประสบภัยทุกคน ความเครียดสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้เช่น โรคกระเพาะอาหาร การทำงานของหัวใจผิดปกติ ปวดศรีษะตลอดเวลา เบื่ออาหาร ดังนั้นเมื่อน้ำท่วม ต้องบริหารจิตของตนเองไม่ให้เครียดมากจนเกินไป หมั่นพูดคุยปรึกษาญาติพี่น้องมากขึ้น
การป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม
- ดื่มน้ำที่สะอาดหรือน้ำต้มสุกเท่านั้น
- ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดบ่อยๆ
- รับประทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกใหม่เสมอ
- ป้องกันตัวเองไม่ให้โดนยุงกัด
- ไม่เครียดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่ท่วม ถ้าจำเป็นต้องสัมผัสควรสวมรองเท้าบูตและควรล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้ง
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังในช่วงน้ำท่วมนอกเหนือไปจากโรคภัยไข้เจ็บก็คือสัตว์มีพิษประเภทต่างๆ เช่น งู แมงป่อง ตะขาบ หรือแม้แต่จระเข้ ดังนั้นในช่วงน้ำท่วม เราต้องซ่อมแซม ปิดช่องรูโหว่ต่างๆที่สัตว์เหล่านี้จะเข้าไปในบ้านได้ การเดินออกมานอกบ้านก้ควรระมัดระวังการทางเดินและควรมีไม้ติดมือไว้เสมอ
จากหลักป้องกันตนเองจากโรคที่มากับน้ำท่วมข้างต้น เป็นวิธีการพื้นฐานที่จะป้องกันตัวเองไม่ให้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แน่นอนว่าการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เกิดอาการโรคต่างๆข้างต้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

ทำไมเลือดถึงมีสีแดง


ทำไมเลือดถึงมีสีแดง


ลุงแม้นเคยถามเพื่อนบางคนว่าทำไมเลือดมีสีแดง เพื่อนเจ้ากรรมของลุงแม้นตอบว่าที่มันมีสีแดงก็เพราะมันเป็นเลือดงัยแป่ว 555+ เล่นเอามึนไปหลายวินาที ตอบได้กำปั้นทุบหัวคันนามาก น้องๆหนูๆทราบหรือเปล่าครับว่าเพราะอะไรเลือดของเราถึงมีสีแดง วันนี้ลุงแม้นมีคำตอบมาให้ครับ ตามมาเลยครับ
สาเหตุที่เลือดมีสีแดงก็เพราะเลือกนั้นประกอบไปด้วยเม็ดเลือดแดง (นอกเหนือไปจากเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด) ในเม็ดเลือดแดงมีสารประกอบอย่างหนึ่งเรียกว่า ฮีโมโกลบินหรือ Hemoglobin ซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อน มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบสูง ทำหน้าที่ขนส่งอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
ฮีโมโกลบิน เมื่อจับตัวกับอ๊อกซิเจนจะมีสีแดงสด เรียกว่า Oxyhemoglobin โดยจะถูกหัวใจฉีดส่งไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย เมื่ออ๊อกซิเจนถูกใช้หมดไปแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำหรือคล้ำ เรียกว่า Deoxyhemoglobin เม็ดเลือดแดงที่ไม่มีอ๊อกซิเจนแล้วนี้ จะถูกส่งผ่านหลอดเลือดดำ ส่งเข้าสู่ปอดเพื่อทำการฟอกหรือเติมอ๊อกซิเจนเข้าไปอีกรอบ จากนั้นส่งต่อไปที่หัวใจเพื่อสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายอีกครั้ง วนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อยไป

ประโยชน์ของเห็ดชนิดต่างๆ


ประโยชน์ของเห็ดชนิดต่างๆ


เห็ดมีอยู่มากมายหลายชนิด ทั้งชนิดที่กินได้และกินไม่ได้ เห็ดเป็นพืชที่หาซื้อได้ทั่วไป ราคาไม่แพง จะปลูกเองก็ได้วิธีการปลูกไม่ยุ่งยาก สามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายชนิด ให้ทั้งความอร่อยและคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งโปรตีน เกลือแร่ วิตามินและใยอาหาร ช่วยเสริมสร้างร่างการและช่วยในการขับถ่าย เห็ดที่นิยมรับประทานกันมีมากมายหลายชนิด มาดูกันครับว่ามีเห็ดที่นิยมรับประทานกันในประเทศไทยมีอะไรบ้าง
1. เห็ดฟาง
เป็นเห็ดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดและนิยมมากที่สุดในประเทศไทย เพราะเพาะง่าย ราคาไม่แพง มีขายทั่วไป อีกทั้งยังนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย เห็ดฟางนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งโปรตีน วิตามินซีและใยอาหาร สามารถช่วยลดการติดเชื้อ ช่วยสมานแผล ป้องกันเลือดออกตามไรฟันหรือโรคลักปิดลักเปิด โรคเหงือกอักเสบ บำรุงตับและช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งอีกด้วย ในเห็ดฟาง 100 กรัม จะให้พลังงานทั้งหมด 35 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 3.2 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม แคลเซียม 8 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัมและวิตามินซี 7 มิลลิกรัม
2. เห็ดนางฟ้า
เป็นเห็ดยอดนิมอีกประเภทหนึ่ง ราคาไม่แพง มีขายทุกที่ มีรสชาติอร่อย สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด นอกจากคุณค่าทางอาหารมากมายเหมือนเห็ดทั่วๆไปแล้ว เห็ดนางฟ้ายังช่วยป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้นและช่วยป้องกันโรคกระเพาะอีกด้วย
3. เห็ดหอม
เห็ดหอมเป็นเห็ดเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการบริโภคสูง รสชาติอร่อย มีกลิ่นหอมและมีคุณค่าทางอาหารสูง นอกจากนี้เห็ดหอมยังมีสรรพคุณทางยามากมายอีกด้วย เช่น ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง เนื่องจากมีแคลเซี่ยมสูง ช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็งอีกด้วย นอกจากนี้เห็ดหอมยังมีกรดอะมิโนถึง 21 ชนิด มีวิตามิน บี 1 บี 2 สูง เหมาะสำหรับชดเชยโปรตีนจากเนื้อสัตว์สำหรับผู้นิยมรับประทานอาหารมังสวิรัติ
4. เห็ดเข็มทอง
เห็ดเข็มทองเป็นเห็ดที่มีแหล่งกำเนิดในเขตหนาวเช่นประเทศจีน ญี่ปุ่น อเมริกาและออสเตรเลีย ลักษณะที่สังเกตได้ง่ายคือหมวกเห็ดรูปร่างกลม มีขนาดเล็กก้านยาวเรียว เกิดรวมกันเป็นกลุ่ม ถึงแม้รูปร่างลักษณะจะเล็ก แต่ว่าทั้งรสชาติ คุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางยาไม่ได้เล็กเลยนะครับ เพราะช่วยรักษาโรคตับ โรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง เนื่องจากมีสาร flammulin ในปริมาณสูง
5. เห็ดหูหนู
เป็นเห็ดที่นิยมปลูกมากอีกชนิดหนึ่ง เพราะปลูกง่าย ขายได้ราคาดี นำมาประกอบอาหารได้เกือบทุกชนิด ให้รสชาติที่อร่อยและรับประทานง่าย ดอกเห็ดมีลักษณะเป็นแผ่นวุ้น คล้ายหูของหนู จึงได้ชื่อว่าเห็ดหูหนู เห็ดหูหนูนอกจากจะรับประทานอร่อยแล้วยังมีประโยชน์ทางยามากมายอีกด้วย เช่น มีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซีและโปรตีนสูง ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน ช่วยบำรุงกระเพาะ สมอง หัวใจ ปอดและตับ กระตุ้นการทำงานของลำไส้ ยับยั้งการเกิดมะเร็งและรักษาอาการริดสีดวง เป็นต้น
6. เห็ดโคน
เห็ดโคนเป็นเห็ดหายากอีกประเภทหนึ่ง มักขึ้นอยู่ในป่า รสชาตินั้นเป็นที่รู้กันว่าอร่อยกว่าเห็ดประเภทอื่นๆ เมื่อประกอบกับการหารับประทานยากแล้ว เห็ดโคนจึงมีราคาสูงพอสมควร เห็ดโคนนั้นสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย มีคุณค่าทางวอาหารสูง มีสรรพคุณทางยาที่ดีไม่แพ้เห็ดประเภทอื่น เช่น ช่วยบำรุงสมอง ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ช่วยเจริญอาหาร ยับยั้งเชื้อไทฟอยด์ได้ดี
7. เห็ดนางรม
เป็นเห็ดขนาดกลางๆ โดยจะเจริญเติบโตเป็นช่อๆคล้ายใบพัด เห็ดนางรมจะมีมีสีขาวอมเทา มีสรรพคุณทางยามากมายเช่น บำบัดอาการปวดและชาตามร่างกาย แขนขา ช่วยขยายหลอดเลือดและอาการเอ็นยึด ยังยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานดีขึ้น ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ปรับความดันโลหิตและความเข้มข้นของไขมันในเลือด เป็นต้น
8. เห็ดภูฏาน
เป็นเห็ดในตระกูลเห็ดนางรม รูปร่างลักษณะคล้ายเห็ดนางรมมาก รับประทานได้ มีรสชาติอร่อย เจริญเติบโตได้เร็วมาก มีสรรพคุณทางยาเหมือนเห็ดนางรม
9. เห็ดขอน
เป็นเห็ดอีกประเภทหนึ่งที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายเห็ดนางรม แต่ดอกจะบางและเหนียวกว่า มีกลิ่นหอม นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสานและภาคเหนือ นอกจากคุณค่าทางอาหารที่สูงเหมือนเห็ดทั่วไปแล้ว สรรพคุณทางยายังมีมากมายอีกด้วย กล่าวคือ ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง แก้ไขพิษและช่วยระบบขับถ่ายทางานดีขึ้น ยับยั้งการเติบโตเซลล์มะเร็ง สามารถลดไขมันในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานและผู้ติดเชื้อ HIV ได้
10. เห็ดแครง
เห็ดแครงเป็นเห็ดขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายพัด เพาะง่ายแต่มีราคาแพงพอสมควร ปัจจุบันเกษตรกรนิยมเพาะขายกันมากขึ้น เป็นเห็ดที่ให้ธาตุอาหารสูง และยังช่วยแก้อาการระดูขาวหรือตกขาว ยับยั้งอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
11. เห็ดตีนแรด
เห็ดตีนแรดเป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีเนื้อมาก รสชาติอร่อย สามารถเก็บไว้ได้นาน นำไปประกอบเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น แกงใส่ผักชะอม ผัดใส่หมู ผัดน้ำมันหอย นึ่งจิ้มน้ำพริกข่า ต้มยำ หรือจะนำไปทำเป็นอาหารเจหรือมังสวิรัติก็ได้ สรรพคุณทางยาของเห็ดตีนแรดคือ ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตทำงานดีขึ้น ลดอาการขับเหงื่อที่มากเกินไปจากการใช้ยา ฟื้นฟูพลังบรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ
12. เห็ดเป๋าฮื้อ
เห็ดเป๋าฮื้อเป็นเห็ดตระกูลเดียวกับเห็ดนางฟ้าและนางรม มีถิ่นกำเนิดและได้รับความนิยมสูงในประเทศจีนและไต้หวัน ประเทศไทยสามารถเพาะได้ดีเช่นกันในทุกภาคและทุกฤดูกาล เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำ เนื้อเหนียวหนาและนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มาก สามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น ช่วยแก้อาการโรคกระเพาะและป้องกันโรคมะเร็ง เห็ดเป๋าฮื้อนิยมนำมาทำยาตำรับจีน
13. เห็ดยานางิ
เห็ดยานางิหรือเห็ดโคนญี่ปุ่น เป็นเห็ดอีกชนิดหนึ่งที่มีมีผู้นิยมบริโภคมาก ราคาไม่แพงมาก รับประทานง่าย สามารถนำมาประกอบอาหารได้เกือบทุกประเภท ให้โปรตีนและใยอาหารสูง มีสรรพคุณทางยาที่ดี เช่น ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการหดหู่ ลดอาการหงุดหงิด ช่วยทำให้ม้ามแข็งแรงและลดอาการท้องเสีย
14. เห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญญอง
เห็ดชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายกระดุมที่มีขนาดใหญ่ รสชาติดี สามารถหาซื้อได้ทั้งแบบสดและแบบบรรจุกระป๋อง มีสรรพคุณทางยาคือ ช่วยในการย่อยอาหาร ความดันโลหิตสูง ช่วยยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ช่วยลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม ช่วยให้แม่มีน้ำนมมากขึ้น ช่วยลดการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในร่างกายได้
15. เห็ดหลินจือ
เห็ดหลินจือจัดเป็นเห็ดที่เจริญเติบโตดีในธรรมชาติ มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย ทั้งคุณค่าทางโภชนาการ ใช้ผสมในเครื่องสำอางค์และสรรพคุณทางยาสูง ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดี ทั้งเรื่องโรคกระเพาะ โรคแผลในลำไส้ ท้องผูก อาหารไม่ย่อย ริดสีดวง ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการโรคความดันโลหิตสูงและต่ำ โรคเบาหวาน ลดคลอเลสเตอรอลในเลือด บรรเทาอาการไขข้ออักเสบ ต่อต้านเซลล์มะเร็งและยืดชีวิตผู้ป่วยเอดส์เนื่องจากเชื่อไวรัส HIV ช่วยรักษาอาการโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคหัวใจ เป็นต้น
16. เห็ดตับเต่า
นายโทรโข่งได้ยินชื่อเห็ดตับเต่าครั้งแรกจากเพลงมนต์รักลูกทุ่ง ที่บรมครูไพบูลย์ บุตรขัน แต่งให้คุณไพลวัลย์ ลูกเพชร ขับร้องจนโด่งดังไปทั่วประเทศ แต่ไม่เคยเห็นรูปร่างลักษณะมาก่อน เมื่อมาค้นข้อมูลดูจึงพบว่าเจ้าเห็ดตับเต่านี่ มีประโยชน์ร้ายกาจมาก เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ดับพิษร้อน บรรเทาอาการปวดชาตามแขนขา ตามกระดูกและเส้นเอ็น ลดอาการอาการระดูขาว หยุดการเติบโตและต่อต้านเนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็ง
17. เห็ดเผาะ
เป็นเห็ดชื่อแปลก รูปร่างแปลก ไม่น่ากินเอาเสียเลย แต่กลับมีรสชาติอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ลักษณะจะเป็นเห็ดรูปร่างกลมๆ เล็กๆ สีน้ำตาลถึงดำ เนื้อในมีสีขาวน่ากิน เนื้อกรอบเคี้ยวกรุบๆอร่อยมาก สามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งแกง ทั้งต้ม ทั้งยำ มีสรรพคุณทางยาคือ ช่วยบำรุงร่างกาย ชูกำลังและแก้ช้ำใน หยุดการไหลของเลือด (ช่วยให้เลือกแข้งตัวเร็ว) ช่วยสมานแผล ลดอาการบวม ลดอาการคันนิ้วมือนิ้วเท้าและช่วยลดไข้อาการร้อนใน



ประโยชน์เหลือร้ายจริงๆนะครับสำหรับเห็ดประเภทต่างๆที่เราคุ้นเคยและรับประทานกันอยู่เป็นประจำ เป็นแหล่งโปรตีนที่อร่อย หาง่ายและราคาถูก มีกากใยอาหารมาก ช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี ใครที่ต้องการเสริมโปรตีนชั้นดีให้กับร่างกายหรือมีอาการท้องผูกบ่อยๆ แนะนำเลยครับ จัดหนักๆ รับรองว่าระบบขับถ่ายของท่านจะกลับมาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม :)

ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของกระเทียม


ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของกระเทียม


กระเทียม (Garlic) เป็นทั้งเครื่องเทศและสมุนไพร ซึ่งขาดไม่ได้เลยสำหรับเมนูอาหารไทย ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด ต้มยำ ยำ รวมถึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในน้ำพริกประเภทต่างๆ และยังเป็นองค์ประกอบของอาหารในเกือบทุกประเทศ นอกจากกระเทียมจะช่วยทำให้อาหารมีรสชาติที่หอมอร่อยขึ้นแล้ว ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสรรพคุณทางยามากมายอีกด้วย
กระเทียมเป็นพืชล้มลุกประเภทหัว โดยมีหัวอยู่ใต้ดิน หัวมีลักษณะเกือบกลม ประกอบไปด้วยกลีบเรียงกันอยู่เป็นชั้นๆ ในแต่ละหัวจะมีจำนวนกลีบมากน้อยต่างกันไป โดยทั่วไปแล้วในหนึ่งหัวจะมีกลีบราวๆ 10 – 20 กลีบ กระเทียมเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญมากอีกประเภทหนึ่ง โดยปลูกมากทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
ประโยชน์ของกระเทียม
ประโยชน์หลักของกระเทียมคือเป็นเครื่องเทศสำหรับประกอบอาหารเกือบทุกชนิด ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด และอื่นๆ นิยมทั้งแบบรับประทานแบบสดและแบบดอง ช่วยให้อาหารมีรสชาติและกลิ่นดีขึ้น



สรรพคุณทางยาของกระเทียม
กระเทียมนับได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาที่หลากหลายมากที่สุดประเภทหนึ่ง ช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย บรรเทาและรักษาอาการของโรคต่างๆได้ เช่น ลดความดันโลหิตและป้องกันโรคหัวใจ ลดระดับไขมันและคอลเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด ช่วยขับลม ป้องกันโรคมะเร็งเนื่องจากมีสารซีลีเนียมที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยรักษาโรคบิด ช่วยขับพยาธิ ช่วยขับเสมหะ ช่วยป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว ช่วยบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดี ดูสะอาด และช่วยฆ่าเชื้อรา จำพวกกลาก เกลื้อน รวมถึงเชื้อราตามเล็บและหนังศีรษะ
จากประโยชน์และสรรพคุณทางยาที่มากมายของกระเทียมข้างต้น เราควรเพิ่มกระเทียมเข้าเป็นส่วนประกอบของอาการที่รับประทานมากขึ้น แต่ข้อควรระวังคือกระเทียมมีกลิ่นแรง ถ้าใส่มากเกินไปอาจจะทำให้กลิ่นของอาการเปลี่ยนไป ไม่น่ารับประทานเท่าที่ควร

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว – อาการและวิธีรักษา


โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว อาการและวิธีรักษา


มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย (Leukemia) เป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งเกิดขึ้นในเม็ดเลือดขาวที่อยู่ในร่างกายของเรา เซลล์มะเร็งประเภทนี้จะทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมามากและยังไปรบกวนกระบวนการสร้างเม็ดเลือดของร่างกาย จนทำให้จำนวนเม็ดเลือดที่ดีนั้นมีจำนวนลดน้อยลง มีอาการเม็ดเลือดขาวแบ่งตัวอย่างไม่หยุดยั้ง จนไปสะสมอยู่ในไขกระดูก
มะเร็งเม็ดเลือดขาวจะทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานผิดปกติไปอันเนื่องมาจากการที่มีเม็ดเลือดขาวมากเกินไป จากการศึกษาพบว่าโรคนี้ไม่ใช่โรคที่มีมาตั้งแต่เกิด แต่มักจะพบโรคนี้ภายหลังการเกิดแล้ว
สาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
มะเร็งชนิดนี้ยังไม่ทราบสามเหตุที่แน่ชัด แต่ก็พบว่ามีความเกี่ยวพันกับโรคทางพันธุ์กรรมบางโรค ความผิดปกติของโครโมโซม รังสีจากอาวุธนิวเคลียร์ การรับสารประกอบประเภทเบนซินบ่อยๆ และจากเชื้อโรคบางชนิดเช่นเชื้อไวรัส เป็นต้น เราสามารถแบ่งโรคนี้ออกได้เป็นสองกลุ่มคือ
1. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน มักเกิดกับเด็ก โดยเกิดจากการแบ่งตัวที่รวดเร็วผิดปกติของเม็ดเลือดขาว
2. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง มักจะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมาเป็นจำนวนมากกว่าเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติ
อาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
โรคนี้มีอาการอยู่ 4 กลุ่มอาการหลักๆคือ
1. ระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดมาก ตัวซีดเหลือง อ่อนเพลียง่าย
2. ผู้ป่วยจะมีเลือดออกง่าย เนื่องจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะทำให้ร่างกายมีเกล็ดเลือดต่ำ จึงทำให้เลือดออกง่าย เช่น มีออกตามไรฟัน มีจ้ำเลือดขึ้นทั่วไปตามร่างกาย และมีภาวะเลือดไหลไม่หยุด เป็นต้น
3. มีอาการติดเชื้อง่าย เป็นไข้บ่อย มีการติดเชื้อในตำแหน่งต่างๆของร่างกาย อันเนื่องมาจากปริมาณเม็ดเลือดมีมาก แต่ไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเอง คือกำจัดเชื้อโรคต่างๆที่เข้ามาสู่ร่างกายได้
4. เกิดอาการเม็ดเลือดขาวสะสมตามอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย มีก้อนแข็งๆขึ้นที่จุดต่างๆของร่างกาย เช่นขาหนีบ ต่อมน้ำเหลือง คอ มีอาการตับและม้ามโต ซึ่งโดยทั่วไปผู้ป่วยในระยะนี้จะถูกตรวจและยืนยันได้ง่ายว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือไม่
การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มักจะทำกัน 2 วิธีคือ
1. เคมีบำบัด (Chenotherapy) เป็นวิธีรักษาที่ต้องใช้เวลารักษานาน บางรายอาจใช้เวลารักษาเป็นปี
2. การปลูกถ่ายในไขกระดูก (Bone Marrow Transplantation) เป็นวิธีรักษาที่ได้ผลดีกว่าวิธีแรก แต่มีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

10 เกร็ดความรู้

1.4G คืออะไร มีประโยชน์กับเราอย่างไร


4G คือเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายผ่านอุปกรณ์แบบเคลื่อนที่ (โทรศัพท์มือถือและแทบเล็ต) ในยุคที่ 4 หรือ 4th Generation Mobile Communications อาจจะเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า LTE (Long Term Evolution) แต่เดิมได้ถูกวางไว้เป็นระบบ 3.9G แต่ต่อมาได้ถูกพัฒนาความเร็วการเชื่อมต่อให้มากขึ้นและเปลี่ยนชื่อเป็นระบบ 4G นั่นเอง

จุดกำเนิดของระบบ 4G
ระบบ 4G ถูกกำหนดมาตรฐานขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2008 โดย International Telecommunications Union-Radio communications sector (ITU-R) โดยเรียกข้อกำหนดนี้ว่า The International Mobile Telecommunications Advanced specification (IMT-Advanced) ซึ่งได้กำหนดความเร็วของระบบ 4G ไว้ที่ 1Gbps แต่ด้วยขีดจำกัดทางด้านเทคโนโลยีและความพร้อมของผู้ให้บริการ จึงทำให้ระบบ 4G ในปัจจุบัน (ซึ่งถือว่าเป็นยุคเริ่มต้น) ทั้ง 2 ระบบคือทั้งแบบ WiMAX และ LTE ยังไม่สามารถทำความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงตามข้อกำหนด IMT-Advanced โดยทำได้เพียง 100-120 Mbps เท่านั้น แต่คาดว่าเมื่อ WiMAX Release 2 ถูกประกาศใช้ จะสามารถทำความเร็วได้ตามข้อกำหนดข้างต้น โดยอาจจะมีชื่อเรียกว่าระบบ 5G

ความเร็วของระบบ 4G
ตามที่ได้กล่าวข้างต้น ระบบ 4G ตามมาตรฐาน IMT-Advanced จะต้องสามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ที่ระดับ 1 Gbps แต่ปรากฏว่าเทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ ดังนั้นการให้บริการระบบ 4G ในปัจจุบันจึงให้บริการที่ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดที่ 100 Mbps และอัพโหลดที่ระดับความเร็ว 50 Mbps เป็นหลัก

ประโยขน์ของระบบ 4G
เนื่องจากการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงผ่านระบบไร้สายของระบบ 4G ทำให้เราสามารถใช้งานระบบ 4G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งทางด้านภาพและเสียง เช่น การดาวน์โหลดหรือรับชมวิดีโอ/ภาพยนต์แบบความคมชัดสูง (HD) การเรียนการสอนทางไกลผ่านระบบโทรศัพท์ไร้สาย การรักษาพยาบาลในแหล่งทุรกันดาน การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของเกษตรกรและอาชีพอื่นๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้อุปกรณ์พกพาเช่น โทรศัพท์มือถือ แทบเล็ต และ notebook computer สามารถทำงานได้อย่างเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
จากประโยชน์ของระบบ 4G ที่มากมายข้างต้น ทำให้ประเทศต่างๆหันมาใช้ระบบนี้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี สิงค์โปร์หรือแม้กระทั่งเพื่อบ้านใกล้ชิดของเราอย่างประเทศลาวก็มีการเปิดให้บริการระบบโทรศัพท์ 4G แล้ว แต่สำหรับประเทศไทยของเรา ทางบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ก็กำลังเริ่มทดสอบระบบนี้เช่นกัน โดยทดสอบบนคลื่นความถี่ 1800 และ 2300 MHz คาดว่าอีกำม่นานประเทศของเราน่าจะมีระบบโทรศัพท์ 4G ใช้งานกัน
ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่และแทบเล็ตที่รองรับการทำงานในระบบ 4G นั้นมีอยู่เกือบจะทุกยี่ห้อ ทั้ง iPhone, iPad, Samsung Galaxy, LG และ HTC เป็นต้น