tag:blogger.com,1999:blog-44805729373764189942024-03-13T12:53:45.586-07:0010 เกร็ดความรู้Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.comBlogger10125tag:blogger.com,1999:blog-4480572937376418994.post-42320834066716213052013-02-28T18:29:00.002-08:002013-02-28T18:29:10.400-08:00เลือกแว่นตา ให้เข้ากับใบหน้า<h1>
เลือกแว่นตา ให้เข้ากับใบหน้า</h1>
<img alt="เลือกแว่นตา ให้เข้ากับใบหน้า" src="http://3.3qdc.com/sakid/2012/03/01/sakid_glesses-57_0.out.jpg" /><div class="buttons">
<div class="fb-like fb_edge_widget_with_comment fb_iframe_widget" data-href="http://sakid.com/2012/03/01/30872/" data-layout="button_count" data-send="true" data-show-faces="false" data-width="160">
<span style="height: 21px; width: 171px;"></span></div>
<div class="button" id="suggestion_button">
ถาม</div>
<div class="button" id="search_button">
ค้นหา</div>
</div>
<div class="details">
แว่นตา แว่นสายตา เดี๋ยวนี้แว่นตาอาจจะไม่ใช่แว่นสายตาอีกเสมอไปเพราะ
บางคนใส่เป็นแฟชั่น อยากใส่แว่นบ้าง เห็นคนนั้นคนนี้ใส่แล้วสวย
เราใส่ก็น่าจะสวยแบบเขาบ้าง เมื่อคิดอยากได้แว่นสักอันแล้ว
ก่อนซื้อก็ให้สังเกตรูปหน้าเราสักนิดว่า เราใส่แล้วเข้ากับใบหน้ารึเปล่า<br />
<ul>
<li><strong>สำหรับคนที่มีใบหน้ารูปไข่</strong> ควรใส่แว่นตาที่เป็นแบบ ทรงรี หยดน้ำ หรือ เหลี่ยมปลายเรียว รับกับใบหน้า ช่วยเน้นให้คมยิ่งขึ้น</li>
<li><strong>คนที่ใบหน้ารูปหัวใจ</strong> หน้าผาก และขมับกว้าง ช่วงคางแคบ
กรอบแว่นควรเป็นทรงกลม หรือ รี สีอ่อน เลี่ยงกรอบขนาดใหญ่เกินไป
เพราะจะยิ่งเน้นหน้าผากกว้างให้ชัดขึ้น</li>
<li><strong>ใบหน้ารูปทรงกลม</strong> โดยความกว้าง
และความยาวของขอบใบหน้าอาจต่างกันเล็กน้อย แต่ส่วนมากจะใกล้เคียงกัน
เหมาะกับกรอบแว่นที่มีเหลี่ยมมุม หรือ ปีกผีเสื้อ สีค่อนข้างเข้ม
ตำแหน่งขาแว่นสูง หรือ อยู่ตรงกลาง ช่วยลดความกลม และทำให้ใบหน้าดูยาวขึ้น</li>
<li><strong>ใบหน้ารูปทรงสี่เหลี่ยม</strong> มีความกว้างของหน้าผาก
โหนกแก้ม และกรามใกล้เคียงกัน โดยลักษณะกรามค่อนข้างเหลี่ยม
ควรเลือกกรอบแว่นโค้งมน ทรงรี หรือ กลม สีอ่อน
สวมแล้วอยู่ระดับเดียวกับโหนกแก้ม ช่วยลดความแข็ง ปิดบังความนูนสูง
และใบหน้าดูเรียวยาว</li>
<li><strong>ใบหน้ารูปทรงสามเหลี่ยมตั้ง</strong> ช่วงกรามกว้างกว่าหน้าผาก
และโหนกแก้ม ควรเลือกกรอบแว่นสี่เหลี่ยม ลักษณะด้านบนกว้าง และหนา
ด้านล่างทำมุมเข้าโดยไม่มีกรอบก็ได้ ส่วนใบหน้ารูปทรงสามเหลี่ยมคว่ำ
รูปหน้าจะค่อย ๆ แคบลงมาจนถึงคาง ควรเลือกกรอบแว่นด้านล่างกว้างกว่าด้านบน
สวมแล้วไม่ควรอยู่สูงเกินไป เพราะจะเน้นคางแคบ และหน้าผากให้กว้างยิ่งขึ้น</li>
</ul>
ซื้อแว่นตาให้เข้ากับใบหน้า จะช่วยทำให้ใบหน้าของเราดูเด่นยิ่งขึ้นค่ะ เลือกดีๆนะคะ เพราะแว่นตา ราคาแพงค่ะ ^-^<br />
</div>
Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480572937376418994.post-86186076489454249622013-02-28T18:28:00.000-08:002013-02-28T18:28:10.646-08:00วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้<h1>
วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้</h1>
<img alt="วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้" src="http://3.3qdc.com/sakid/2012/09/17/sakid_wash-67_0.out.jpg" /><div class="buttons">
<div class="fb-like fb_edge_widget_with_comment fb_iframe_widget" data-href="http://sakid.com/2012/09/17/32131/" data-layout="button_count" data-send="true" data-show-faces="false" data-width="160">
<span style="height: 21px; width: 171px;"></span></div>
<div class="button" id="suggestion_button">
ถาม</div>
<div class="button" id="search_button">
ค้นหา</div>
</div>
<div class="details">
<h3>
วิธีบำรุงผิวหน้า ด้วยผลไม้</h3>
ผลไม้หลากหลายชนิด สามารถนำมาบำรุงผิวหน้า เพื่อทำให้หน้าใสเนียน จากธรรมชาติ<br />
<h2>
1. สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว</h2>
<h3>
ส่วนผสม</h3>
<ul>
<li>น้ำผึ้ง 1 ถ้วย</li>
<li>น้ำมะนาว 1 ช้อนชา</li>
</ul>
<h3>
วิธีทำ</h3>
<ol>
<li>ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที</li>
<li>หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด</li>
</ol>
มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น<br />
<h2>
2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล</h2>
<h3>
ส่วนผสม</h3>
<ul>
<li>แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ</li>
<li>น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ</li>
</ul>
<h3>
วิธีทำ</h3>
<ol>
<li>นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง</li>
<li>ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที</li>
<li>หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น</li>
</ol>
สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย<br />
<h2>
3. สูตรกระชับรูขุมขน</h2>
<h3>
ส่วนผสม</h3>
<ul>
<li>กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่</li>
<li>ปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ</li>
<li>น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว</li>
</ul>
<h3>
วิธีทำ</h3>
<ol>
<li>ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว</li>
<li>นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม</li>
<li>นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ</li>
<li>ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที</li>
<li>ล้างออกด้วยน้ำอุ่น</li>
</ol>
สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น<br />
<h2>
4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)</h2>
<h3>
ส่วนผสม</h3>
<ul>
<li>โยเกิร์ต ½ ถ้วย</li>
<li>น้ำมันดอกทานตะวัน</li>
<li>มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ</li>
</ul>
<h3>
วิธีทำ</h3>
<ol>
<li>ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน</li>
<li>นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที</li>
<li>ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด</li>
</ol>
สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย<br />
<h2>
5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย</h2>
<h3>
ส่วนผสม</h3>
<ul>
<li>กล้วย 1 ผล</li>
<li>น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ</li>
</ul>
<h3>
วิธีทำ</h3>
<ol>
<li>บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน</li>
<li>นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที</li>
<li>ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น</li>
</ol>
สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง<br />
<h2>
6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา</h2>
<h3>
ส่วนผสม</h3>
<ul>
<li>แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ</li>
<li>ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)</li>
<li>น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ</li>
</ul>
<h3>
วิธีทำ</h3>
<ol>
<li>นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน</li>
<li>นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา</li>
<li>ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที</li>
<li>แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น</li>
</ol>
เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม<br />
<h3>
สูตรบำรุงผิวหน้าดีๆแบบนี้</h3>
ต้องลองแล้วค่ะ ไม่ต้องกลัวแพ้สารเคมี แต่ต้องระวังนะ ถ้าทำแล้วนอนหลับ มดอาจจะขึ้นมาตอมใบหน้าได้ โดยเฉพาะ สูตรที่มีของหวานปน ^-^<br />
</div>
Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480572937376418994.post-38623915174042566502013-02-28T18:27:00.002-08:002013-02-28T18:27:03.154-08:00ประโยชน์ของ สตรอเบอร์รี่<h1>
ประโยชน์ของ สตรอเบอร์รี่</h1>
<img alt="ประโยชน์ของ สตรอเบอร์รี่" src="http://3.3qdc.com/sakid/2012/08/26/sakid_strawberry-31_0.out.jpg" /><div class="buttons">
<div class="fb-like fb_edge_widget_with_comment fb_iframe_widget" data-href="http://sakid.com/2012/08/26/32053/" data-layout="button_count" data-send="true" data-show-faces="false" data-width="160">
<span style="height: 21px; width: 160px;"></span></div>
<div class="button" id="suggestion_button">
ถาม</div>
<div class="button" id="search_button">
ค้นหา</div>
</div>
<div class="details">
<h2>
ประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่</h2>
<ul>
<li>เป็นผลไม้ที่ไม่หวานจัดและให้พลังงานต่ำ จึงเหมาะกับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก</li>
<li>มีวิตามินซีสูง สามารถป้องกันโรคหวัดได้เมื่อรับประทานเป็นประจำ</li>
<li>ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้
สตอรว์เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอยู่ในอันดับต้นๆของผักผล
ไม้มีการศึกษาในผู้หญิงสูงอายุพบว่ารับ ประทานวันละ 20ผล หรือ 240 กรัม
ทำให้ความสามารถต้านอนุมูลอิสระในเลือดเพิ่มขึ้น</li>
<li>ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้</li>
<li>ช่วยล้างพิษ ทำให้ร่างกายสดชื่นผ่อนคลาย</li>
<li>แนวทางให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก สตรอว์เบอร์รี่</li>
</ul>
<h2>
ราคาแพงจัง</h2>
ถ้าไม่สะดวกซื้อแบบสด ลองหาซื้อแบบสำเร็จรูปมาทานได้นะคะ อาจจะได้ประโยชน์ ไม่เหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ประโยชน์ จริงไหมคะ <br />
<h2>
ที่ไหนมีขายเยอะ เอาแบบสดๆนะ</h2>
ที่เชียงใหม่เลยค่ะ ช่วงหน้าหนาว มีเยอะค่ะ หวานอร่อย สดจากสวนค่ะ <br />
</div>
Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480572937376418994.post-41263995686237856272013-02-28T18:18:00.003-08:002013-02-28T18:18:21.935-08:00ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของแครอท<!--[if !mso]>
<style>
v\:* {behavior:url(#default#VML);}
o\:* {behavior:url(#default#VML);}
w\:* {behavior:url(#default#VML);}
.shape {behavior:url(#default#VML);}
</style>
<![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:WordDocument>
<w:View>Normal</w:View>
<w:Zoom>0</w:Zoom>
<w:PunctuationKerning/>
<w:ValidateAgainstSchemas/>
<w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid>
<w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent>
<w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText>
<w:Compatibility>
<w:BreakWrappedTables/>
<w:SnapToGridInCell/>
<w:ApplyBreakingRules/>
<w:WrapTextWithPunct/>
<w:UseAsianBreakRules/>
<w:DontGrowAutofit/>
</w:Compatibility>
<w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel>
</w:WordDocument>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156">
</w:LatentStyles>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]>
<style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-bidi-font-family:"Times New Roman";
mso-ansi-language:#0400;
mso-fareast-language:#0400;
mso-bidi-language:#0400;}
</style>
<![endif]-->
<br />
<h1>
<span lang="TH">ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของแครอท</span></h1>
<br />
<span lang="TH">แครอทเป็นพืชล้มลุกประเภทกินหัว นิมยมปลูกและรับประทานกันทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย
แครอทให้ประโยชน์มากมายทั้งในด้านโภชนาการและสรรพคุณทางยา สามารถนำมาประกอบอาหารได้มากมายหลายชนิด
แครอทนอกจากจะให้คุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายแล้ว ยังเป็นพืชที่ปลูกง่าย สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นอย่างมาก
ราคาไม่แพง ผู้บริโภคสามารถหาซื้อได้ทั่วไป เก็บไว้รับประทานได้นาน</span><br />
<b><span lang="TH">ลักษณะทางพฤษศาสตร์</span></b><br />
<span lang="TH">แครอทเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ </span>Umbelliferae <span lang="TH">อาจจะพบชื่อเรียกอื่นๆด้วยเช่น
ผักกาดหัวเหลืองหรือผักหัวชี ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด แครอทเป็นพืชประเภทหัว
คือมีหัวเจริญเติบโตอยู่ใต้ดิน เมื่อหัวมีขนาดใหญ่พอก็สามารถนำมารับประทานได้ แครอทมีแหล่งกำเนิดในเอเชียจากนั้นได้แพร่ขยายไปทั่วโลก
นิมปลูกในฤดูฝน จริงๆแล้วแครอทนั้นมีหลายสีตั้งแต่เหลืองจนถึงม่วง แต่ที่นิมปลูกและรับประทานจะเป็นแครอทสีส้ม
ซึ่งได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้ปลูกง่าย มีรสชาติดี กรอบ อร่อย</span><br />
<b><span lang="TH">ประโยชน์ของแครอท</span></b><br />
<b><span lang="TH">ประโยชน์ของแครอท </span>– <span lang="TH">การนำมาประกอบอาหาร</span></b><br />
<span lang="TH">แครอทนับได้ว่าเป็นพืชสารพัดประโยชน์ นำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย
ทั้งอาหารคาวและหวาน รวมถึงเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาหารคาวนั้นแทบไม่ต้องพูดถึงครับ
ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด แครอทสามารถนำมาทำได้ครบถ้วน ตัวอย่างเช่น ผัดผักรวมใส่แครอท
แกงจืดแครอทยัดใส้หมู แครอทชุบแป้งทอด แครอทผัดพริกแกง ซุปแครอท สลัด ยำรสจัดจ้าน
ต้มจิ้มน้ำพริก ส้มตำแครอท เป็นต้น นอกจากนั้นยังนิยมใช้แครอทเป็นผักเสริมในการเพิ่มสีสันของอาหารประเภทต่างๆให้น่ารับประทานมากขึ้นอีกด้วย
ส่วนเมนูของหวานนั้น เรานิยมเรานำแครอทมาทำขนมเค็กแครอทให้รสชาติที่อร่อย หอมหวาน สีสันสวยงามน่ารับประทานที่สุด
ส่วนของเครื่องดื่มนั้น เราสามารถนำน้ำแครอทสดไปปรับแต่งเป็นเมนูเครื่องดื่มได้นับร้อยเมนู
อีกทั้งยังสามารถรับประทานน้ำแครอทคั้นสด ซึ่งร่างกายเราสามารถได้ประโยชน์จากแครอทได้อย่างเต็มที่อีกด้วย</span><br />
<br />
<b><span lang="TH">ประโยชน์ของแครอท </span>– <span lang="TH">คุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยา</span></b><br />
<span lang="TH">แครอทเป็นพืชที่มีสารอาหารหลายชนิดที่มีประโยชนืต่อร่างการ เช่น
มีวิตามินเอและสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา แก้โรคตาฟ้าฟางได้ดี บำรุงผิวและเนื้อเยื่อต่างๆให้ทำงานได้ดี
ช่วยยับยั้งความเสื่อมของอวัยวะสำคัญของร่างกาย ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงเลือดให้ไหลเวียนสะดวกและช่วยขับของเสียออกนอกร่างกาย
นอกจากนี้แครอทยังมีสารฟอลคารินอลซึ่งทำงานร่วมกับสารเบต้าแคโรทีน สามารถต้านอนุมุลอิสระอันเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง</span><br />
<span lang="TH">จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการยังพบอีกว่า แครอทมีสารแคลเซียมเพคเตทที่ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด
ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว ลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
อัมพฤษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูงและต้อกระจก</span><br />
<span lang="TH">เพื่อนๆคงได้เห็นประโยชน์ของแครอทแล้วนะครับว่ามีอยู่อย่างมากมายเหลือเกิน
รับประทานก็ง่าย หาซื้อก็ง่าย ราคาก็ไม่แพง ปลูกกันมากในประเทศของเราเอง ดังนั้นการรับประทานแครอทนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองแล้ว
ยังได้ช่วยให้เกษตรกรไทยมีรายได้มากขึ้น เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ แต่ต้องไม่ลืมอย่างหนึ่งนะครับว่าพืชผักส่วนมากในบ้านเราผ่านการปลูกแบบใช้สารเคมีมาก
ดังนั้นก่อนนำมารับประทาน เราควรทำความสะอาดให้ดี แช่น้ำสะอาดนานๆ หรือไม่ก็ใช้ด่างทับทิมช่วยก็ได้
ถ้าให้ดีช่วยกันอุดหนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์ดีกว่าครับ
จ่ายค่าพืชผักเพิ่มขึ้นอีกนิด แต่ลดค่ารักษาพยาบาลตัวเองในอนาคตลงได้มากโข </span><img alt=":)" class="wp-smiley" height="15" src="file:///C:/DOCUME%7E1/USER/LOCALS%7E1/Temp/msohtml1/10/clip_image001.gif" width="15" /><br />
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480572937376418994.post-3184704779211086772013-02-28T18:17:00.008-08:002013-02-28T18:17:53.196-08:00โรคที่มากับน้ำท่วมมีอะไรบ้าง<!--[if !mso]>
<style>
v\:* {behavior:url(#default#VML);}
o\:* {behavior:url(#default#VML);}
w\:* {behavior:url(#default#VML);}
.shape {behavior:url(#default#VML);}
</style>
<![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:WordDocument>
<w:View>Normal</w:View>
<w:Zoom>0</w:Zoom>
<w:PunctuationKerning/>
<w:ValidateAgainstSchemas/>
<w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid>
<w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent>
<w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText>
<w:Compatibility>
<w:BreakWrappedTables/>
<w:SnapToGridInCell/>
<w:ApplyBreakingRules/>
<w:WrapTextWithPunct/>
<w:UseAsianBreakRules/>
<w:DontGrowAutofit/>
</w:Compatibility>
<w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel>
</w:WordDocument>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156">
</w:LatentStyles>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]>
<style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-bidi-font-family:"Times New Roman";
mso-ansi-language:#0400;
mso-fareast-language:#0400;
mso-bidi-language:#0400;}
</style>
<![endif]-->
<br />
<br />
<h1>
<span lang="TH">โรคที่มากับน้ำท่วมมีอะไรบ้าง</span></h1>
<span lang="TH" style="font-size: 10.0pt;">หมวดหมู่: </span><span style="font-size: 10.0pt;"><a href="http://www.xn--42c8ao1akazf5c2be0gsk.net/%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%82%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e/" rel="category tag" title="View all posts in สุขภาพ"><span lang="TH">สุขภาพ</span></a></span> <br />
<img border="0" class="alignleft" height="120" src="/images/flood-desease.jpg" style="border-bottom-color: black; border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 1px; border-left-color: black; border-left-style: solid; border-left-width: 1px; border-right-color: black; border-right-style: solid; border-right-width: 1px; border-top-color: black; border-top-style: solid; border-top-width: 1px; margin-bottom: 4px; margin-left: 10px; margin-right: 10px; margin-top: 4px;" title="โรคที่มากับน้ำท่วม" width="120" /><span lang="TH">ฤดูฝนนอกจากไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนักแล้วอาจจะมีน้ำหลาก
ทำให้เราอาจจะประสบปัญหาน้ำท่วมได้ตลอดเวลา น้ำท่วมไม่ได้นำมาซึ่งความเสียหายต่อทรัพย์สิน
เรือกสวนไร่ และธุรกิจเท่านั้น แต่น้ำท่วมยังนำโรคต่างๆมาด้วย
โรคที่มากับน้ำท่วมมีหลายโรค ซึ่งแต่ละโรคมีความรุนแรงตั้งแต่สร้างความรำคาญ
จนถึงสามารถทำให้เสียชีวิตได้ มาดูกันครับว่ามีโรคอะไรกันบ้าง</span><br />
<br />
<b>1. <span lang="TH">โรคน้ำกัดเท้า</span></b><br />
<span lang="TH">เป็นโรคที่คู่กับน้ำท่วมมาทุกยุคทุกสมัย เกิดจากความเปียกและอับชื้นบริเวณเท้าและง่ามนิ้วเท้า
ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผิวหนังบริเวณนั้นหลุดลอกออก ทำให้เชื้อโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อราสามารถเข้าไปฝังตัวบริเวณนั้น
ทำให้เกิดแผลผุพอง ผื่นคัน และสามารถอักเสบเป็นหนองได้ ทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน เดินได้ไม่สะดวก</span><br />
<b>2. <span lang="TH">โรคฉี่หนู</span></b><br />
<span lang="TH">โรคฉี่หนู หรือ เลปโตสไปโรสิส นั้นเป็นโรคติดต่อประเภทหนึ่งโดยมีหนูเป็นพาหะ
สามารถติดต่อจากหนูสู่คนได้ผ่านทางปัสสาวะของหนู ไม่ว่าหนูนั้นจะฉี่ลงน้ำที่ท่วมขังหรือฉี่ลงไปในอาหารที่เรารับประทาน
ภายหลังจากหนูฉี่ลงน้ำ เชื้อโรคนี้จะแพร่กระจายอยู่ในน้ำ และจะเข้าสู่ร่างกายเราผ่านทางแผลที่ผิวหนังที่สัมผัสน้ำนั้น</span><br />
<b>3. <span lang="TH">โรคไข้เลือดออก</span></b><br />
<span lang="TH">โรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากยุงลาย ซึ่งมักจะออกหากินเวลากลางวัน
ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้อาเจียน
อาการที่สังเกตุได้ง่ายอย่างหนึ่งคือจะมีจุดเล็กๆตามลำตัวและแขน ขา เมื่อมีอาการดังกล่าวอย่าซื้อยามารับประทานเอง
ให้รีบไปพบแพทย์ทันที</span><br />
<b>4. <span lang="TH">โรคปอดอักเสบ</span></b><br />
<span lang="TH">โรคนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่สำลักเอาน้ำที่ไม่สะอาดเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ
ทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ ปอดติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ไอมาก
หายใจหอบและเร็ว ผู้มีอาการนี้ควรรีบไปพบแพทย์</span><br />
<b>5. <span lang="TH">โรคตาแดง</span></b><br />
<span lang="TH">โรคตาแดงมักจะเกิดจากการสัมผัสกับเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักจะเกิดจากการใช้มือหรือผ้าเช็คหน้าที่มีเชื้อเหล่านี้ไปสัมผัสดวงตา
ผู้ป่วยจะมีอาการคันและเคืองตา บางรายอาจจะมีอาการปวดดวงตา บวมแดง มีขี้ตามาก ร่วมด้วย
ส่วนมากอาการจะหายไปเองภายใน </span>1-2 <span lang="TH">สัปดาห์ ถ้ามีอาการมากควรไปพบแพทย์</span><br />
<b>6. <span lang="TH">โรคอหิวาตกโรค</span></b><br />
<span lang="TH">เกิดจากเชื้อแบคทีเรียประเภท </span>Vibrio Cholerae <span lang="TH">มักเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด ซึ่งมีแมลงวันเป็นพาหะ ทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง
มีลักษณะอุจจาระเหลวมาก ถ่ายบ่อยทั้งวัน อาการอาจจะหายไปเองได้
แต่ถ้ามีอาการมากต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว</span><br />
<b>7. <span lang="TH">ไข้ไทฟอยด์</span></b><br />
<span lang="TH">มีชื่อเรียกอีกชื่อว่าไข้รากสาดน้อย เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย </span>Salmonella
Enterica Serovar <span lang="TH">ซึ่งจะอยู่ในน้ำดื่มและอาหารที่ไม่สะอาด
มีเชื้อโรคปนอยู่ โดยจะเข้าไปฝังตัวในลำใส้และระบบขับถ่าย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง
เหงื่อออกมาก กระเพาะและลำไส้อักเสบ มีอาการท้องเสียแบบไม่มีเลือดปน ผู้ป่วยบางรายอาจจะหายได้เองใน
</span>2-4 <span lang="TH">สัปดาห์ แต่ในรายที่มีอาการแทรกซ้อน เช่น เลือดออกทางเดินอาหาร
ลำไส้ทะลุ ไตวาย ช่องท้องอักเสบ อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการไข้ไทฟอยด์
การไปพบแพทย์จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด</span><br />
<b>8. <span lang="TH">โรคเครียดวิตกกังวล</span></b><br />
<span lang="TH">ผู้ประสบเหตุน้ำท่วมย่อมมีอาการเครียดและวิตกกังวล อันเนื่องมาจากความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เกิดขึ้น
การทำหากินลำบาก ไปทำงานหรือโรงเรียนไม่ได้ หาซื้อข้าวปลาอาหารลำบาก ดังนั้นอาการเคลียดและซึมเศร้าจึงมักจะเกิดขึ้นกับผู้ประสบภัยทุกคน
ความเครียดสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้เช่น โรคกระเพาะอาหาร การทำงานของหัวใจผิดปกติ
ปวดศรีษะตลอดเวลา เบื่ออาหาร ดังนั้นเมื่อน้ำท่วม ต้องบริหารจิตของตนเองไม่ให้เครียดมากจนเกินไป
หมั่นพูดคุยปรึกษาญาติพี่น้องมากขึ้น</span><br />
<b><span lang="TH">การป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม</span></b><br />
- <span lang="TH">ดื่มน้ำที่สะอาดหรือน้ำต้มสุกเท่านั้น</span><br />
- <span lang="TH">ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดบ่อยๆ</span><br />
- <span lang="TH">รับประทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกใหม่เสมอ</span><br />
- <span lang="TH">ป้องกันตัวเองไม่ให้โดนยุงกัด</span><br />
- <span lang="TH">ไม่เครียดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น</span><br />
- <span lang="TH">หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่ท่วม ถ้าจำเป็นต้องสัมผัสควรสวมรองเท้าบูตและควรล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้ง</span><br />
<span lang="TH">อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังในช่วงน้ำท่วมนอกเหนือไปจากโรคภัยไข้เจ็บก็คือสัตว์มีพิษประเภทต่างๆ
เช่น งู แมงป่อง ตะขาบ หรือแม้แต่จระเข้ ดังนั้นในช่วงน้ำท่วม เราต้องซ่อมแซม ปิดช่องรูโหว่ต่างๆที่สัตว์เหล่านี้จะเข้าไปในบ้านได้
การเดินออกมานอกบ้านก้ควรระมัดระวังการทางเดินและควรมีไม้ติดมือไว้เสมอ</span><br />
<span lang="TH">จากหลักป้องกันตนเองจากโรคที่มากับน้ำท่วมข้างต้น เป็นวิธีการพื้นฐานที่จะป้องกันตัวเองไม่ให้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
แน่นอนว่าการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เกิดอาการโรคต่างๆข้างต้น
ให้รีบไปพบแพทย์ทันที</span><br />
Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480572937376418994.post-30623739763308179382013-02-28T18:17:00.004-08:002013-02-28T18:17:30.099-08:00ทำไมเลือดถึงมีสีแดง<!--[if gte mso 9]><xml>
<w:WordDocument>
<w:View>Normal</w:View>
<w:Zoom>0</w:Zoom>
<w:PunctuationKerning/>
<w:ValidateAgainstSchemas/>
<w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid>
<w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent>
<w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText>
<w:Compatibility>
<w:BreakWrappedTables/>
<w:SnapToGridInCell/>
<w:ApplyBreakingRules/>
<w:WrapTextWithPunct/>
<w:UseAsianBreakRules/>
<w:DontGrowAutofit/>
</w:Compatibility>
<w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel>
</w:WordDocument>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156">
</w:LatentStyles>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]>
<style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-bidi-font-family:"Times New Roman";
mso-ansi-language:#0400;
mso-fareast-language:#0400;
mso-bidi-language:#0400;}
</style>
<![endif]-->
<br />
<h1>
<span lang="TH">ทำไมเลือดถึงมีสีแดง</span></h1>
<br />
<span lang="TH">ลุงแม้นเคยถามเพื่อนบางคนว่าทำไมเลือดมีสีแดง เพื่อนเจ้ากรรมของลุงแม้นตอบว่าที่มันมีสีแดงก็เพราะมันเป็นเลือดงัย</span>…<span lang="TH">แป่ว </span>555+ <span lang="TH">เล่นเอามึนไปหลายวินาที ตอบได้กำปั้นทุบหัวคันนามาก
น้องๆหนูๆทราบหรือเปล่าครับว่าเพราะอะไรเลือดของเราถึงมีสีแดง วันนี้ลุงแม้นมีคำตอบมาให้ครับ
ตามมาเลยครับ</span><br />
<span lang="TH">สาเหตุที่เลือดมีสีแดงก็เพราะเลือกนั้นประกอบไปด้วยเม็ดเลือดแดง</span>
(<span lang="TH">นอกเหนือไปจากเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด) ในเม็ดเลือดแดงมีสารประกอบอย่างหนึ่งเรียกว่า
</span>“<span lang="TH">ฮีโมโกลบิน</span>” <span lang="TH">หรือ </span>Hemoglobin <span lang="TH">ซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อน มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบสูง ทำหน้าที่ขนส่งอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย</span><br />
<span lang="TH">ฮีโมโกลบิน เมื่อจับตัวกับอ๊อกซิเจนจะมีสีแดงสด เรียกว่า </span>Oxyhemoglobin
<span lang="TH">โดยจะถูกหัวใจฉีดส่งไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย เมื่ออ๊อกซิเจนถูกใช้หมดไปแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำหรือคล้ำ
เรียกว่า</span> Deoxyhemoglobin <span lang="TH">เม็ดเลือดแดงที่ไม่มีอ๊อกซิเจนแล้วนี้
จะถูกส่งผ่านหลอดเลือดดำ ส่งเข้าสู่ปอดเพื่อทำการฟอกหรือเติมอ๊อกซิเจนเข้าไปอีกรอบ
จากนั้นส่งต่อไปที่หัวใจเพื่อสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายอีกครั้ง วนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อยไป</span><br />
<br />
Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480572937376418994.post-21785790196333918342013-02-28T18:17:00.000-08:002013-02-28T18:17:06.209-08:00ประโยชน์ของเห็ดชนิดต่างๆ<!--[if !mso]>
<style>
v\:* {behavior:url(#default#VML);}
o\:* {behavior:url(#default#VML);}
w\:* {behavior:url(#default#VML);}
.shape {behavior:url(#default#VML);}
</style>
<![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:WordDocument>
<w:View>Normal</w:View>
<w:Zoom>0</w:Zoom>
<w:PunctuationKerning/>
<w:ValidateAgainstSchemas/>
<w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid>
<w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent>
<w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText>
<w:Compatibility>
<w:BreakWrappedTables/>
<w:SnapToGridInCell/>
<w:ApplyBreakingRules/>
<w:WrapTextWithPunct/>
<w:UseAsianBreakRules/>
<w:DontGrowAutofit/>
</w:Compatibility>
<w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel>
</w:WordDocument>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156">
</w:LatentStyles>
</xml><![endif]--><!--[if !mso]><img src="//img2.blogblog.com/img/video_object.png" style="background-color: #b2b2b2; " class="BLOGGER-object-element tr_noresize tr_placeholder" id="ieooui" data-original-id="ieooui" />
<style>
st1\:*{behavior:url(#ieooui) }
</style>
<![endif]--><!--[if gte mso 10]>
<style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-bidi-font-family:"Times New Roman";
mso-ansi-language:#0400;
mso-fareast-language:#0400;
mso-bidi-language:#0400;}
</style>
<![endif]-->
<br />
<h1>
<span lang="TH">ประโยชน์ของเห็ดชนิดต่างๆ</span></h1>
<br />
<span lang="TH">เห็ดมีอยู่มากมายหลายชนิด ทั้งชนิดที่กินได้และกินไม่ได้
เห็ดเป็นพืชที่หาซื้อได้ทั่วไป ราคาไม่แพง จะปลูกเองก็ได้วิธีการปลูกไม่ยุ่งยาก
สามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายชนิด ให้ทั้งความอร่อยและคุณค่าทางอาหารสูง
ทั้งโปรตีน เกลือแร่ วิตามินและใยอาหาร ช่วยเสริมสร้างร่างการและช่วยในการขับถ่าย
เห็ดที่นิยมรับประทานกันมีมากมายหลายชนิด มาดูกันครับว่ามีเห็ดที่นิยมรับประทานกันในประเทศไทยมีอะไรบ้าง</span><br />
<b>1. <span lang="TH">เห็ดฟาง</span></b><br />
<span lang="TH">เป็นเห็ดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดและนิยมมากที่สุดในประเทศไทย เพราะเพาะง่าย
ราคาไม่แพง มีขายทั่วไป อีกทั้งยังนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย เห็ดฟางนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
ทั้งโปรตีน วิตามินซีและใยอาหาร สามารถช่วยลดการติดเชื้อ ช่วยสมานแผล
ป้องกันเลือดออกตามไรฟันหรือโรคลักปิดลักเปิด โรคเหงือกอักเสบ
บำรุงตับและช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งอีกด้วย ในเห็ดฟาง </span>100 <span lang="TH">กรัม
จะให้พลังงานทั้งหมด </span>35 <span lang="TH">กิโลแคลอรี่ โปรตีน </span>3.2 <span lang="TH">กรัม ไขมัน </span>0.2 <span lang="TH">กรัม คาร์โบไฮเดรต </span>5 <span lang="TH">กรัม แคลเซียม </span>8 <span lang="TH">มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส </span>18 <span lang="TH">มิลลิกรัม เหล็ก </span>1.1 <span lang="TH">มิลลิกรัมและวิตามินซี</span> 7
<span lang="TH">มิลลิกรัม</span><br />
<b>2. <span lang="TH">เห็ดนางฟ้า</span></b><br />
<span lang="TH">เป็นเห็ดยอดนิมอีกประเภทหนึ่ง ราคาไม่แพง มีขายทุกที่
มีรสชาติอร่อย สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด นอกจากคุณค่าทางอาหารมากมายเหมือนเห็ดทั่วๆไปแล้ว
เห็ดนางฟ้ายังช่วยป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้นและช่วยป้องกันโรคกระเพาะอีกด้วย</span><br />
<b>3. <span lang="TH">เห็ดหอม</span></b><br />
<span lang="TH">เห็ดหอมเป็นเห็ดเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการบริโภคสูง
รสชาติอร่อย มีกลิ่นหอมและมีคุณค่าทางอาหารสูง นอกจากนี้เห็ดหอมยังมีสรรพคุณทางยามากมายอีกด้วย
เช่น ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
เนื่องจากมีแคลเซี่ยมสูง ช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็งอีกด้วย
นอกจากนี้เห็ดหอมยังมีกรดอะมิโนถึง </span>21 <span lang="TH">ชนิด มีวิตามิน บี </span>1
<span lang="TH">บี </span>2 <span lang="TH">สูง เหมาะสำหรับชดเชยโปรตีนจากเนื้อสัตว์สำหรับผู้นิยมรับประทานอาหารมังสวิรัติ</span><br />
<b>4. <span lang="TH">เห็ดเข็มทอง</span></b><br />
<span lang="TH">เห็ดเข็มทองเป็นเห็ดที่มีแหล่งกำเนิดในเขตหนาวเช่นประเทศจีน ญี่ปุ่น
อเมริกาและออสเตรเลีย ลักษณะที่สังเกตได้ง่ายคือหมวกเห็ดรูปร่างกลม มีขนาดเล็กก้านยาวเรียว
เกิดรวมกันเป็นกลุ่ม ถึงแม้รูปร่างลักษณะจะเล็ก แต่ว่าทั้งรสชาติ คุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางยาไม่ได้เล็กเลยนะครับ
เพราะช่วยรักษาโรคตับ โรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง
เนื่องจากมีสาร </span>flammulin <span lang="TH">ในปริมาณสูง</span><br />
<b>5. <span lang="TH">เห็ดหูหนู</span></b><br />
<span lang="TH">เป็นเห็ดที่นิยมปลูกมากอีกชนิดหนึ่ง เพราะปลูกง่าย ขายได้ราคาดี
นำมาประกอบอาหารได้เกือบทุกชนิด ให้รสชาติที่อร่อยและรับประทานง่าย
ดอกเห็ดมีลักษณะเป็นแผ่นวุ้น คล้ายหูของหนู จึงได้ชื่อว่าเห็ดหูหนู เห็ดหูหนูนอกจากจะรับประทานอร่อยแล้วยังมีประโยชน์ทางยามากมายอีกด้วย
เช่น มีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซีและโปรตีนสูง
ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน ช่วยบำรุงกระเพาะ สมอง หัวใจ ปอดและตับ
กระตุ้นการทำงานของลำไส้ ยับยั้งการเกิดมะเร็งและรักษาอาการริดสีดวง เป็นต้น</span><br />
<b>6. <span lang="TH">เห็ดโคน</span></b><br />
<span lang="TH">เห็ดโคนเป็นเห็ดหายากอีกประเภทหนึ่ง มักขึ้นอยู่ในป่า
รสชาตินั้นเป็นที่รู้กันว่าอร่อยกว่าเห็ดประเภทอื่นๆ เมื่อประกอบกับการหารับประทานยากแล้ว
เห็ดโคนจึงมีราคาสูงพอสมควร เห็ดโคนนั้นสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย
มีคุณค่าทางวอาหารสูง มีสรรพคุณทางยาที่ดีไม่แพ้เห็ดประเภทอื่น เช่น ช่วยบำรุงสมอง
ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ช่วยเจริญอาหาร ยับยั้งเชื้อไทฟอยด์ได้ดี</span><br />
<b>7. <span lang="TH">เห็ดนางรม</span></b><br />
<span lang="TH">เป็นเห็ดขนาดกลางๆ โดยจะเจริญเติบโตเป็นช่อๆคล้ายใบพัด
เห็ดนางรมจะมีมีสีขาวอมเทา มีสรรพคุณทางยามากมายเช่น บำบัดอาการปวดและชาตามร่างกาย
แขนขา ช่วยขยายหลอดเลือดและอาการเอ็นยึด ยังยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานดีขึ้น
ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ปรับความดันโลหิตและความเข้มข้นของไขมันในเลือด เป็นต้น</span><br />
<b>8. <span lang="TH">เห็ดภูฏาน</span></b><br />
<span lang="TH">เป็นเห็ดในตระกูลเห็ดนางรม รูปร่างลักษณะคล้ายเห็ดนางรมมาก
รับประทานได้ มีรสชาติอร่อย เจริญเติบโตได้เร็วมาก มีสรรพคุณทางยาเหมือนเห็ดนางรม</span><br />
<b>9. <span lang="TH">เห็ดขอน</span></b><br />
<span lang="TH">เป็นเห็ดอีกประเภทหนึ่งที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายเห็ดนางรม แต่ดอกจะบางและเหนียวกว่า
มีกลิ่นหอม นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสานและภาคเหนือ นอกจากคุณค่าทางอาหารที่สูงเหมือนเห็ดทั่วไปแล้ว
สรรพคุณทางยายังมีมากมายอีกด้วย กล่าวคือ ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง
แก้ไขพิษและช่วยระบบขับถ่ายทางานดีขึ้น ยับยั้งการเติบโตเซลล์มะเร็ง
สามารถลดไขมันในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานและผู้ติดเชื้อ</span> HIV <span lang="TH">ได้</span><br />
<b>10. <span lang="TH">เห็ดแครง</span></b><br />
<span lang="TH">เห็ดแครงเป็นเห็ดขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายพัด เพาะง่ายแต่มีราคาแพงพอสมควร
ปัจจุบันเกษตรกรนิยมเพาะขายกันมากขึ้น เป็นเห็ดที่ให้ธาตุอาหารสูง และยังช่วยแก้อาการระดูขาวหรือตกขาว
ยับยั้งอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง</span><br />
<b>11. <span lang="TH">เห็ดตีนแรด</span></b><br />
<span lang="TH">เห็ดตีนแรดเป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่ มีเนื้อมาก รสชาติอร่อย
สามารถเก็บไว้ได้นาน นำไปประกอบเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น แกงใส่ผักชะอม ผัดใส่หมู
ผัดน้ำมันหอย นึ่งจิ้มน้ำพริกข่า ต้มยำ หรือจะนำไปทำเป็นอาหารเจหรือมังสวิรัติก็ได้
สรรพคุณทางยาของเห็ดตีนแรดคือ ยับยั้งเซลล์มะเร็ง
ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตทำงานดีขึ้น ลดอาการขับเหงื่อที่มากเกินไปจากการใช้ยา
ฟื้นฟูพลังบรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ</span><br />
<b>12. <span lang="TH">เห็ดเป๋าฮื้อ</span></b><br />
<span lang="TH">เห็ดเป๋าฮื้อเป็นเห็ดตระกูลเดียวกับเห็ดนางฟ้าและนางรม มีถิ่นกำเนิดและได้รับความนิยมสูงในประเทศจีนและไต้หวัน
ประเทศไทยสามารถเพาะได้ดีเช่นกันในทุกภาคและทุกฤดูกาล เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำ เนื้อเหนียวหนาและนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มาก
สามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น
ช่วยแก้อาการโรคกระเพาะและป้องกันโรคมะเร็ง เห็ดเป๋าฮื้อนิยมนำมาทำยาตำรับจีน</span><br />
<b>13. <span lang="TH">เห็ดยานางิ</span></b><br />
<span lang="TH">เห็ดยานางิหรือเห็ดโคนญี่ปุ่น เป็นเห็ดอีกชนิดหนึ่งที่มีมีผู้นิยมบริโภคมาก
ราคาไม่แพงมาก รับประทานง่าย สามารถนำมาประกอบอาหารได้เกือบทุกประเภท
ให้โปรตีนและใยอาหารสูง มีสรรพคุณทางยาที่ดี เช่น ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการหดหู่
ลดอาการหงุดหงิด ช่วยทำให้ม้ามแข็งแรงและลดอาการท้องเสีย</span><br />
<b>14. <span lang="TH">เห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญญอง</span></b><br />
<span lang="TH">เห็ดชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายกระดุมที่มีขนาดใหญ่ รสชาติดี สามารถหาซื้อได้ทั้งแบบสดและแบบบรรจุกระป๋อง
มีสรรพคุณทางยาคือ ช่วยในการย่อยอาหาร ความดันโลหิตสูง ช่วยยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ช่วยลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม ช่วยให้แม่มีน้ำนมมากขึ้น ช่วยลดการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในร่างกายได้</span><br />
<b>15. <span lang="TH">เห็ดหลินจือ</span></b><br />
<span lang="TH">เห็ดหลินจือจัดเป็นเห็ดที่เจริญเติบโตดีในธรรมชาติ มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย
ทั้งคุณค่าทางโภชนาการ ใช้ผสมในเครื่องสำอางค์และสรรพคุณทางยาสูง
ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดี ทั้งเรื่องโรคกระเพาะ โรคแผลในลำไส้ ท้องผูก
อาหารไม่ย่อย ริดสีดวง ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น
ลดอาการโรคความดันโลหิตสูงและต่ำ โรคเบาหวาน ลดคลอเลสเตอรอลในเลือด
บรรเทาอาการไขข้ออักเสบ ต่อต้านเซลล์มะเร็งและยืดชีวิตผู้ป่วยเอดส์เนื่องจากเชื่อไวรัส
</span>HIV <span lang="TH">ช่วยรักษาอาการโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคหัวใจ
เป็นต้น</span><br />
<b>16. <span lang="TH">เห็ดตับเต่า</span></b><br />
<span lang="TH">นายโทรโข่งได้ยินชื่อเห็ดตับเต่าครั้งแรกจากเพลงมนต์รักลูกทุ่ง ที่บรมครูไพบูลย์
บุตรขัน แต่งให้คุณไพลวัลย์
ลูกเพชร ขับร้องจนโด่งดังไปทั่วประเทศ แต่ไม่เคยเห็นรูปร่างลักษณะมาก่อน
เมื่อมาค้นข้อมูลดูจึงพบว่าเจ้าเห็ดตับเต่านี่ มีประโยชน์ร้ายกาจมาก
เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ดับพิษร้อน
บรรเทาอาการปวดชาตามแขนขา ตามกระดูกและเส้นเอ็น ลดอาการอาการระดูขาว หยุดการเติบโตและต่อต้านเนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็ง</span><br />
<b>17. <span lang="TH">เห็ดเผาะ</span></b><br />
<span lang="TH">เป็นเห็ดชื่อแปลก รูปร่างแปลก ไม่น่ากินเอาเสียเลย
แต่กลับมีรสชาติอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ลักษณะจะเป็นเห็ดรูปร่างกลมๆ เล็กๆ
สีน้ำตาลถึงดำ เนื้อในมีสีขาวน่ากิน เนื้อกรอบเคี้ยวกรุบๆอร่อยมาก
สามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งแกง ทั้งต้ม ทั้งยำ มีสรรพคุณทางยาคือ
ช่วยบำรุงร่างกาย ชูกำลังและแก้ช้ำใน หยุดการไหลของเลือด</span> (<span lang="TH">ช่วยให้เลือกแข้งตัวเร็ว)
ช่วยสมานแผล ลดอาการบวม ลดอาการคันนิ้วมือนิ้วเท้าและช่วยลดไข้อาการร้อนใน</span><br />
<br />
<br />
<br />
<span lang="TH">ประโยชน์เหลือร้ายจริงๆนะครับสำหรับเห็ดประเภทต่างๆที่เราคุ้นเคยและรับประทานกันอยู่เป็นประจำ
เป็นแหล่งโปรตีนที่อร่อย หาง่ายและราคาถูก มีกากใยอาหารมาก ช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี
ใครที่ต้องการเสริมโปรตีนชั้นดีให้กับร่างกายหรือมีอาการท้องผูกบ่อยๆ แนะนำเลยครับ
จัดหนักๆ รับรองว่าระบบขับถ่ายของท่านจะกลับมาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม </span><img alt=":)" class="wp-smiley" height="15" src="file:///C:/DOCUME%7E1/USER/LOCALS%7E1/Temp/msohtml1/04/clip_image001.gif" width="15" /><br />
<br />
Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480572937376418994.post-39444048045886084272013-02-28T18:16:00.002-08:002013-02-28T18:18:38.152-08:00ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของกระเทียม<!--[if gte mso 9]><xml>
<w:WordDocument>
<w:View>Normal</w:View>
<w:Zoom>0</w:Zoom>
<w:PunctuationKerning/>
<w:ValidateAgainstSchemas/>
<w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid>
<w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent>
<w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText>
<w:Compatibility>
<w:BreakWrappedTables/>
<w:SnapToGridInCell/>
<w:ApplyBreakingRules/>
<w:WrapTextWithPunct/>
<w:UseAsianBreakRules/>
<w:DontGrowAutofit/>
</w:Compatibility>
<w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel>
</w:WordDocument>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156">
</w:LatentStyles>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]>
<style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-bidi-font-family:"Times New Roman";
mso-ansi-language:#0400;
mso-fareast-language:#0400;
mso-bidi-language:#0400;}
</style>
<![endif]-->
<br />
<h1>
<span lang="TH">ประโยชน์และสรรพคุณทางยาของกระเทียม</span></h1>
<br />
<b><span lang="TH">กระเทียม</span></b> (Garlic) <span lang="TH">เป็นทั้งเครื่องเทศและสมุนไพร
ซึ่งขาดไม่ได้เลยสำหรับเมนูอาหารไทย ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด ต้มยำ ยำ
รวมถึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในน้ำพริกประเภทต่างๆ และยังเป็นองค์ประกอบของอาหารในเกือบทุกประเทศ
นอกจากกระเทียมจะช่วยทำให้อาหารมีรสชาติที่หอมอร่อยขึ้นแล้ว ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสรรพคุณทางยามากมายอีกด้วย</span><br />
<span lang="TH">กระเทียมเป็นพืชล้มลุกประเภทหัว โดยมีหัวอยู่ใต้ดิน
หัวมีลักษณะเกือบกลม ประกอบไปด้วยกลีบเรียงกันอยู่เป็นชั้นๆ
ในแต่ละหัวจะมีจำนวนกลีบมากน้อยต่างกันไป โดยทั่วไปแล้วในหนึ่งหัวจะมีกลีบราวๆ </span>10
– 20 <span lang="TH">กลีบ กระเทียมเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญมากอีกประเภทหนึ่ง โดยปลูกมากทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของไทย</span><br />
<b><span lang="TH">ประโยชน์ของกระเทียม</span></b><br />
<span lang="TH">ประโยชน์หลักของกระเทียมคือเป็นเครื่องเทศสำหรับประกอบอาหารเกือบทุกชนิด
ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด และอื่นๆ นิยมทั้งแบบรับประทานแบบสดและแบบดอง ช่วยให้อาหารมีรสชาติและกลิ่นดีขึ้น</span><br />
<br />
<br />
<br />
<b><span lang="TH">สรรพคุณทางยาของกระเทียม</span></b><br />
<span lang="TH">กระเทียมนับได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาที่หลากหลายมากที่สุดประเภทหนึ่ง
ช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย บรรเทาและรักษาอาการของโรคต่างๆได้ เช่น ลดความดันโลหิตและป้องกันโรคหัวใจ
ลดระดับไขมันและคอลเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด ช่วยขับลม
ป้องกันโรคมะเร็งเนื่องจากมีสารซีลีเนียมที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย
ช่วยรักษาโรคบิด ช่วยขับพยาธิ ช่วยขับเสมหะ ช่วยป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว
ช่วยบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดี ดูสะอาด และช่วยฆ่าเชื้อรา จำพวกกลาก เกลื้อน
รวมถึงเชื้อราตามเล็บและหนังศีรษะ</span><br />
<span lang="TH">จากประโยชน์และสรรพคุณทางยาที่มากมายของกระเทียมข้างต้น เราควรเพิ่มกระเทียมเข้าเป็นส่วนประกอบของอาการที่รับประทานมากขึ้น
แต่ข้อควรระวังคือกระเทียมมีกลิ่นแรง ถ้าใส่มากเกินไปอาจจะทำให้กลิ่นของอาการเปลี่ยนไป
ไม่น่ารับประทานเท่าที่ควร</span><br />
<br />Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480572937376418994.post-24893203058607104982013-02-28T18:15:00.003-08:002013-02-28T18:18:54.646-08:00โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว – อาการและวิธีรักษา<!--[if gte mso 9]><xml>
<w:WordDocument>
<w:View>Normal</w:View>
<w:Zoom>0</w:Zoom>
<w:PunctuationKerning/>
<w:ValidateAgainstSchemas/>
<w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid>
<w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent>
<w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText>
<w:Compatibility>
<w:BreakWrappedTables/>
<w:SnapToGridInCell/>
<w:ApplyBreakingRules/>
<w:WrapTextWithPunct/>
<w:UseAsianBreakRules/>
<w:DontGrowAutofit/>
</w:Compatibility>
<w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel>
</w:WordDocument>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156">
</w:LatentStyles>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]>
<style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-bidi-font-family:"Times New Roman";
mso-ansi-language:#0400;
mso-fareast-language:#0400;
mso-bidi-language:#0400;}
</style>
<![endif]-->
<br />
<h1>
<span lang="TH">โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว </span>– <span lang="TH">อาการและวิธีรักษา</span></h1>
<br />
<b><span lang="TH">มะเร็งเม็ดเลือดขาว</span></b><span lang="TH"> หรือ ลูคีเมีย (</span>Leukemia)
<span lang="TH">เป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งเกิดขึ้นในเม็ดเลือดขาวที่อยู่ในร่างกายของเรา
เซลล์มะเร็งประเภทนี้จะทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมามากและยังไปรบกวนกระบวนการสร้างเม็ดเลือดของร่างกาย
จนทำให้จำนวนเม็ดเลือดที่ดีนั้นมีจำนวนลดน้อยลง มีอาการเม็ดเลือดขาวแบ่งตัวอย่างไม่หยุดยั้ง
จนไปสะสมอยู่ในไขกระดูก</span><br />
<span lang="TH">มะเร็งเม็ดเลือดขาวจะทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานผิดปกติไปอันเนื่องมาจากการที่มีเม็ดเลือดขาวมากเกินไป
จากการศึกษาพบว่าโรคนี้ไม่ใช่โรคที่มีมาตั้งแต่เกิด แต่มักจะพบโรคนี้ภายหลังการเกิดแล้ว</span><br />
<b><span lang="TH">สาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว</span></b><br />
<span lang="TH">มะเร็งชนิดนี้ยังไม่ทราบสามเหตุที่แน่ชัด แต่ก็พบว่ามีความเกี่ยวพันกับโรคทางพันธุ์กรรมบางโรค
ความผิดปกติของโครโมโซม รังสีจากอาวุธนิวเคลียร์ การรับสารประกอบประเภทเบนซินบ่อยๆ
และจากเชื้อโรคบางชนิดเช่นเชื้อไวรัส เป็นต้น เราสามารถแบ่งโรคนี้ออกได้เป็นสองกลุ่มคือ</span><br />
1. <span lang="TH">มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน </span>– <span lang="TH">มักเกิดกับเด็ก
โดยเกิดจากการแบ่งตัวที่รวดเร็วผิดปกติของเม็ดเลือดขาว</span><br />
2. <span lang="TH">มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง </span>– <span lang="TH">มักจะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่
เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมาเป็นจำนวนมากกว่าเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติ</span><br />
<b><span lang="TH">อาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว</span></b><br />
<span lang="TH">โรคนี้มีอาการอยู่ </span>4 <span lang="TH">กลุ่มอาการหลักๆคือ</span><br />
1. <span lang="TH">ระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดมาก ตัวซีดเหลือง
อ่อนเพลียง่าย</span><br />
2. <span lang="TH">ผู้ป่วยจะมีเลือดออกง่าย เนื่องจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะทำให้ร่างกายมีเกล็ดเลือดต่ำ
จึงทำให้เลือดออกง่าย เช่น มีออกตามไรฟัน มีจ้ำเลือดขึ้นทั่วไปตามร่างกาย และมีภาวะเลือดไหลไม่หยุด
เป็นต้น</span><br />
3. <span lang="TH">มีอาการติดเชื้อง่าย เป็นไข้บ่อย มีการติดเชื้อในตำแหน่งต่างๆของร่างกาย
อันเนื่องมาจากปริมาณเม็ดเลือดมีมาก แต่ไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเอง
คือกำจัดเชื้อโรคต่างๆที่เข้ามาสู่ร่างกายได้</span><br />
4. <span lang="TH">เกิดอาการเม็ดเลือดขาวสะสมตามอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย มีก้อนแข็งๆขึ้นที่จุดต่างๆของร่างกาย
เช่นขาหนีบ ต่อมน้ำเหลือง คอ มีอาการตับและม้ามโต ซึ่งโดยทั่วไปผู้ป่วยในระยะนี้จะถูกตรวจและยืนยันได้ง่ายว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือไม่</span><br />
<b><span lang="TH">การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว</span></b><br />
<span lang="TH">การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มักจะทำกัน </span>2 <span lang="TH">วิธีคือ</span><br />
1. <span lang="TH">เคมีบำบัด (</span>Chenotherapy) <span lang="TH">เป็นวิธีรักษาที่ต้องใช้เวลารักษานาน
บางรายอาจใช้เวลารักษาเป็นปี</span><br />
2. <span lang="TH">การปลูกถ่ายในไขกระดูก (</span>Bone Marrow Transplantation) <span lang="TH">เป็นวิธีรักษาที่ได้ผลดีกว่าวิธีแรก แต่มีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง</span><br />
<br />Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4480572937376418994.post-66491868325615783912013-02-07T19:22:00.000-08:002013-02-28T18:14:42.402-08:0010 เกร็ดความรู้<div class="post-1382 post type-post status-publish format-standard hentry category-- tag-4g" id="post-1382">
<h1 class="entry-title">
1.4G คืออะไร มีประโยชน์กับเราอย่างไร</h1>
<small><span class="category"></span></small><br />
<div class="entry-content">
4G
คือเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายผ่านอุปกรณ์แบบเคลื่อนที่ (โทรศัพท์มือถือและแทบเล็ต)
ในยุคที่ 4 หรือ 4th Generation Mobile Communications อาจจะเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า
LTE (Long Term Evolution) แต่เดิมได้ถูกวางไว้เป็นระบบ 3.9G
แต่ต่อมาได้ถูกพัฒนาความเร็วการเชื่อมต่อให้มากขึ้นและเปลี่ยนชื่อเป็นระบบ 4G
นั่นเอง<br />
<br />
<b>จุดกำเนิดของระบบ 4G</b><br />
ระบบ 4G
ถูกกำหนดมาตรฐานขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2008 โดย International Telecommunications
Union-Radio communications sector (ITU-R) โดยเรียกข้อกำหนดนี้ว่า The
International Mobile Telecommunications Advanced specification (IMT-Advanced)
ซึ่งได้กำหนดความเร็วของระบบ 4G ไว้ที่ 1Gbps
แต่ด้วยขีดจำกัดทางด้านเทคโนโลยีและความพร้อมของผู้ให้บริการ จึงทำให้ระบบ 4G
ในปัจจุบัน (ซึ่งถือว่าเป็นยุคเริ่มต้น) ทั้ง 2 ระบบคือทั้งแบบ WiMAX และ LTE
ยังไม่สามารถทำความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงตามข้อกำหนด IMT-Advanced
โดยทำได้เพียง 100-120 Mbps เท่านั้น แต่คาดว่าเมื่อ WiMAX Release 2 ถูกประกาศใช้
จะสามารถทำความเร็วได้ตามข้อกำหนดข้างต้น โดยอาจจะมีชื่อเรียกว่าระบบ 5G<br />
<br />
<b>ความเร็วของระบบ 4G</b><br />
ตามที่ได้กล่าวข้างต้น ระบบ 4G
ตามมาตรฐาน IMT-Advanced จะต้องสามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ที่ระดับ 1 Gbps
แต่ปรากฏว่าเทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ ดังนั้นการให้บริการระบบ 4G
ในปัจจุบันจึงให้บริการที่ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดที่ 100 Mbps
และอัพโหลดที่ระดับความเร็ว 50 Mbps เป็นหลัก<br />
<br />
<b>ประโยขน์ของระบบ
4G</b><br />
เนื่องจากการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงผ่านระบบไร้สายของระบบ 4G
ทำให้เราสามารถใช้งานระบบ 4G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งทางด้านภาพและเสียง เช่น
การดาวน์โหลดหรือรับชมวิดีโอ/ภาพยนต์แบบความคมชัดสูง (HD)
การเรียนการสอนทางไกลผ่านระบบโทรศัพท์ไร้สาย การรักษาพยาบาลในแหล่งทุรกันดาน
การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของเกษตรกรและอาชีพอื่นๆ
นอกจากนี้ยังช่วยให้อุปกรณ์พกพาเช่น โทรศัพท์มือถือ แทบเล็ต และ notebook computer
สามารถทำงานได้อย่างเกิดประสิทธิภาพสูงสุด<br />
จากประโยชน์ของระบบ 4G ที่มากมายข้างต้น
ทำให้ประเทศต่างๆหันมาใช้ระบบนี้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น
เกาหลี
สิงค์โปร์หรือแม้กระทั่งเพื่อบ้านใกล้ชิดของเราอย่างประเทศลาวก็มีการเปิดให้บริการระบบโทรศัพท์
4G แล้ว แต่สำหรับประเทศไทยของเรา ทางบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน)
ก็กำลังเริ่มทดสอบระบบนี้เช่นกัน โดยทดสอบบนคลื่นความถี่ 1800 และ 2300 MHz
คาดว่าอีกำม่นานประเทศของเราน่าจะมีระบบโทรศัพท์ 4G ใช้งานกัน<br />
ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่และแทบเล็ตที่รองรับการทำงานในระบบ 4G
นั้นมีอยู่เกือบจะทุกยี่ห้อ ทั้ง iPhone, iPad, Samsung Galaxy, LG และ HTC
เป็นต้น<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<!--[if gte mso 9]><xml>
<w:WordDocument>
<w:View>Normal</w:View>
<w:Zoom>0</w:Zoom>
<w:PunctuationKerning/>
<w:ValidateAgainstSchemas/>
<w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid>
<w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent>
<w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText>
<w:Compatibility>
<w:BreakWrappedTables/>
<w:SnapToGridInCell/>
<w:ApplyBreakingRules/>
<w:WrapTextWithPunct/>
<w:UseAsianBreakRules/>
<w:DontGrowAutofit/>
</w:Compatibility>
<w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel>
</w:WordDocument>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml>
<w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156">
</w:LatentStyles>
</xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]>
<style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:ตารางปกติ;
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt;
mso-para-margin:0cm;
mso-para-margin-bottom:.0001pt;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:10.0pt;
font-family:"Times New Roman";
mso-bidi-font-family:"Times New Roman";
mso-ansi-language:#0400;
mso-fareast-language:#0400;
mso-bidi-language:#0400;}
</style>
<![endif]-->
</div>
</div>
Yoilhttp://www.blogger.com/profile/11977518587502950923noreply@blogger.com0